รถสตาร์ทไม่ติด เกิดจากอะไร? วิธีเช็กเบื้องต้น ก่อนเสียเงินฟรีเรียกช่าง!

19 May 2025
Share แชร์ Share on Facebook Share on Twitter Share on Line
what-to-do-if-your-car-can-not-start

หนึ่งในปัญหาสุดกวนใจของคนใช้รถก็คือ "รถสตาร์ทไม่ติด" โดยเฉพาะเวลาที่รีบๆ ไปทำงาน บอกเลยว่าหงุดหงิดสุดๆ วันนี้เราจะพามาเช็กสาเหตุยอดฮิตที่ทำให้รถสตาร์ทไม่ติด พร้อมวิธีแก้ไขเบื้องต้นที่คุณสามารถทำเองได้ ก่อนจะต้องเรียกช่างมาช่วย ซึ่งถ้าใครกำลังหารถที่พร้อมใช้งานแบบไม่ต้องปวดหัวกับปัญหาเหล่านี้ "รถพร้อมขาย" ก็เป็นอีกตัวเลือกดีๆ ที่ไม่ควรมองข้าม


สาเหตุที่ทำให้รถสตาร์ทไม่ติด
 

1.แบตเตอรี่เสื่อม

สาเหตุยอดฮิตอันดับหนึ่งคือ แบตเตอรี่หมดหรือเสื่อมสภาพ เมื่อแบตเตอรี่ไม่สามารถจ่ายไฟได้เพียงพอ ระบบไฟฟ้าในรถก็จะทำงานผิดปกติทำให้สตาร์ทไม่ติด หากคุณบิดกุญแจแล้วไม่มีเสียงหรือไฟหน้าปัดไม่ขึ้น อาจจะเป็นเพราะแบตเตอรี่หมด

2.ไดสตาร์ทมีปัญหา

ไดสตาร์ททำหน้าที่หมุนเครื่องยนต์ตอนสตาร์ท หากเสียหรือทำงานผิดปกติ รถจะไม่มีเสียงหมุนของเครื่องยนต์เลยหรือมีเสียงคล้ายมอเตอร์หมุนอืดๆ

3.น้ำมันหมด

หากรถเงียบสนิทไม่มีการตอบสนองจากเครื่องยนต์หรือสตาร์ทติดแต่เร่งไม่ขึ้น อาจจะเป็นเพราะน้ำมันหมดหรือปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิงมีปัญหา ตรวจเช็กระดับน้ำมันและหากมีน้ำมันอยู่แต่ยังสตาร์ทไม่ติด อาจจะต้องให้ช่างตรวจสอบหัวฉีด

4.ระบบไฟฟ้ามีปัญหา

ไฟหน้าปัดไม่ขึ้น ไฟส่องสว่างไม่ทำงานหรืออุปกรณ์ไฟฟ้าในรถทำงานผิดปกติ อาจจะเกิดจากการฟิวส์ขาดหรือระบบไฟฟ้ามีปัญหา

5.ปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิงเสีย

ถ้าปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิงไม่ทำงาน เครื่องยนต์จะไม่ได้รับน้ำมัน ส่งผลให้สตาร์ทไม่ติดเช่นกัน

6.กุญแจรีโมทหรือระบบกันขโมยขัดข้อง

หากกดปุ่มสตาร์ทแล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรือมีไฟเตือนระบบกันขโมยขึ้น อาจเป็นเพราะกุญแจรีโมทหรือระบบกันขโมยมีปัญหา ลองใช้กุญแจสำรองหรือถอดแบตเตอรี่ออกจากรีโมทแล้วใส่ใหม่ วิธีแก้ปัญหา👉คลิก

บทความที่เกี่ยวข้อง

เช็คด่วน! ไฟเตือนหน้าปัด

ทำไงดี! รีโมทรถยนต์ใช้งานไม่ได้

3 สัญญาณเตือนถึงเวลาต้องเปลี่ยนผ้าเบรกรถยนต์ 

รถสตาร์ทไม่ติดแก้ยังไงดี


1. เช็กแบตเตอรี่

  • ดูว่ามีไฟในรถไหม เช่น ไฟหน้าปัด ไฟหน้ารถ ถ้าไม่มีเลยแบตอาจหมดได้
  • ลองหาสายพ่วงแบตเตอรี่ แล้วพ่วงกับรถคันอื่นดู ถ้าสตาร์ทติด ก็ชัดเจนว่าแบตเสื่อมแน่นอน

2. ฟังเสียงตอนสตาร์ท

  • ถ้ามีเสียงแชะๆ แต่ไม่หมุน = แบตเตอรี่อ่อน
  • ถ้าไม่มีเสียงเลย = ไดสตาร์ทหรือระบบไฟน่าจะมีปัญหา

3. เช็กระดับน้ำมัน

  • มองหน้าปัดดูเลยว่าน้ำมันหมดหรือเปล่า ถ้าหมดจริงๆแก้ด้วยการเติมน้ำมันใหม่

4. เช็กเกียร์

  • รถเกียร์ออโต้ต้องอยู่ที่ตำแหน่ง P (Parking) หรือ N (Neutral) ถึงจะสตาร์ทได้ ถ้าอยู่ใน D หรือ R ระบบจะไม่ให้สตาร์ทเพื่อความปลอดภัย

5. ลองใช้กุญแจสำรอง

  • หากใช้กุญแจรีโมทแล้วรถไม่สตาร์ท ลองใช้กุญแจสำรอง

6.  รีเซ็ตระบบกันขโมย

  • ถ้าเป็นรถรุ่นใหม่ๆ ที่มีระบบกันขโมย อาจจะลองกดปลดล็อกด้วยรีโมตหรือเสียบกุญแจแล้วหมุนซ้ำสองสามครั้ง บางครั้งระบบอาจจะรีเซ็ตเองได้


ปัญหา รถสตาร์ทไม่ติด อาจจะเกิดจากหลายสาเหตุ ตั้งแต่แบตเตอรี่เสื่อม ไดสตาร์ทพัง น้ำมันหมด หรือระบบไฟฟ้ามีปัญหา การรู้จักเช็กเบื้องต้นด้วยตัวเองจะช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายได้มาก แต่ถ้าไม่มั่นใจอย่าลังเลที่จะเรียกช่างมาดูแล เพื่อความปลอดภัยของทั้งรถและตัวคุณ และถ้าคุณอยากได้รถที่พร้อมใช้งาน ไม่ต้องกังวลปัญหาจุกจิก รถพร้อมขาย ก็มีรถบ้านคุณภาพดีให้เลือกมากมายในราคาสบายกระเป๋า

สามารถอ่านบทความต่างๆเกี่ยวกับรถได้ที่นี่

รถมือสองราคาเริ่มต้นหลักหมื่น คลิก

ลงขายรถฟรีได้ ทีนี่